ไก่ขัน หมาขโมย
ไก่ขัน หมาขโมย
วันนก่อนเห็นหลานที่กำลังเรียนอยู่ในชั้นประถม 4 เอาหนังสือเรียนภาษาไทยมาอ่าน เรื่องพระอภัยมณี มีอยู่ตอนหนึ่งเขียนว่า "รู้สิ่งไรไม่สู้รู้วิชา, รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี, จงคิดตามไปเอาไม้เท้าเถิด จะประเสริฐสมรักเป็น....." ซึ่งหลานผมได้ถามว่า คำว่า รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี นี้ หมายความว่าทำอย่างไรก็ได้ให้ตัวเองรอดใช่ไหม ผมก็อึ้งไปเหมือนกัน เพราะว่ามันล่อแหลมต่อประเด็นเรื่องคุณธรรม ศีลธรรม และจรรณยาบรรณมาก เพราะหากมุ่งแต่ที่ผลว่า เอาตัวรอดไว้ก่อน โดยไม่คำนึงถึงวิธีการคงไม่ดีแน่ ทำให้ผมนึกถึงสุภาษิตจีน สุภาษิตหนึ่งขึ้นมาคือ ไก่ขันหมาขโมย (จีหมิง โก่วเต้า) เรื่องราวเป็นดังนี้
สมัยจ้านกว๋อเมิ่งฉางจวินแห่งก๊กฉีชอบรับคนทุกประเภทไม่ว่าจะมีความสามารถหรือไม่ มาเป็นลูกสมุน มีอยู่ครั้งหนึ่ง เมิ่งฉางจวินนำเหล่าลูกสมุนทั้งหลาย ไปดำเนินความสัมพันธ์ทางการฑูตที่ก๊กฉิน ฉินจาวหวางจึงได้รับพวกเขาไว้เป็นเสนาบดี เมิ่งฉางจวินด้วยความที่ไม่กล้าขัดใจ จึงจำต้องตอบรับคำชวน ไม่นานเหล่าขุนนางได้เกลี้ยกล่อม ฉินจาวหวางว่า "การรับเมิ่งฉางจวินมาเป็นเสนาบดีนั้นเป็นโทษต่อแผ่นดิน ตัวเขาเองนั้นเป็นราชนิกูล อยู่ที่ก๊กฉีก็มีศักดินา มีครอบครัว เขาจะมีจิตใจทำงานเพื่อก๊กฉินของเราได้อย่างไร" ฉินจาวหวางเห็นว่ามีเหตุผลจึงเปลี่ยนใจ สั่งกักบริเวณเมิ่งฉางจวินกับลูกสมุนเอาไว้ รอให้มีข้ออ้างก่อน ค่อยจัดการฆ่าทิ้งเสีย
เมิ่งฉางจวินรู้ว่าฉินจาวหวางมีนางสนมนางหนึ่งที่โปรดปรานเป็นพิเศษ ไม่ว่านางสนมนี้พูดอะไร ฉินจาวหวางก็ไม่เคยปฏิเสธ จึงส่งคนไปพบนางเพื่อขอความช่วยเหลือ นางยื่นเงื่อนไขมาว่า ต้องนำเสื้อขนจิ้งจอกขาวมาให้นางให้ได้ นางถึงยอมช่วย แต่ตอนที่เมิงฉางจวิน มาถึงก๊กฉินใหม่ๆ นั้น ได้มอบเสื้อขนจิ้งจอกขาวให้ฉินจาวหวางไปแล้ว ฉับพลันลูกสมุนคนหนึ่งของเมิ่งฉางจวินก็พูดขึ้นมาว่า "ข้าพเจ้าสามารถนำเสื้อขนจิ้งจอกขาวกลับมาให้ท่านได้" เมื่อพูดจบก็เดินจากไป แท้ที่จริงแล้วลูกสมุนของเมิ่งฉางจวินคนนี้ เป็นคนที่มีความสามารถในการแอบเข้าไปขโมยของโดยไม่มีใครรู้ตัว เหมือนกับหมาที่เข้าบ้านคนอื่นทางโพรงหมาขุดเพื่อแอบเข้าไปขโมยของกิน เมื่อสืบทราบว่าฉินจาวหวางเก็บเสื้อขนจิ้งจอกไว้ที่ไหนแล้ว ก็จัดการดอดเข้าไปขโมยกลับมาเป็นผลสำเร็จ เมื่อนำเสื้อขนจิ้งจอกขาวไปมอบให้นางสนม นางสนมดีใจมากและรับปากจะช่วยเมิ่งฉางจวิน ทว่าขอเวลาสักสองสามวัน
แต่เมิ่งฉางจวินอดใจรอไม่ไหว จึงรีบนำลูกสมุนทั้งหลายหนีออกจากเมืองไป โดยคิดจะหนีออกทางด่านหานกู่ แต่ตอนที่ไปถึงด่านนั้น เป็นเวลากลางคืนพอดี จึงออกจากด่านไปไม่ได้ ต้องรอให้เช้าเสียก่อน ขณะที่ทุกคนกระวนกระวายใจอยู่นั้น พลันก็ได้ยินเสียงไก่ขันขึ้นมา และเสียงที่ได้ยินนั้น ไม่ใช่เสียงไก่เพียงตัวเดียว แต่เป็นเสียงไก่จำนวนมากกำลังขันอยู่ แท้ที่จริงแล้วมีลูกสมุนของเมิ่งฉางจวินอยู่คนหนึ่งที่มีความสามารถในการเลียนแบบเสียงไก่ขันได้เหมือนจริง เมื่อไก่ตัวอื่นได้ยินไก่ตัวหนึ่งขัน พวกมันก็จะพากันขันตาม
ทหารเฝ้าประตูด่านเมื่อได้ยินเสียงไก่ขันก็รู้สึกแปลกใจว่ายังไม่เช้าแต่ทำไมไก่ถึงขัน แต่ก็จำต้องเปิดประตูด่านเพราะไก่ขันแล้ว แสดงว่าได้เวลาเปิดประตูแล้ว พวกของเมิ่งฉางจวินจึงฉวยโอกาสนี้หนีออกจากก๊กฉินไปได้ พอเช้าฉินจาวหวางทราบเรื่องว่าเมิ่งฉางจวินหนีออกไป จึงออกคำสั่งให้ทุกด่านสกัดไว้ แต่เมิ่งฉางจวินได้หนีออกนอกก๊กฉินไปนานแล้ว
จากความสามารถในการย่องเบาเป็นหมาขโมย และความสามารถในการเลียนเสียงไก่ขันของลูกสมุนทำให้เมิ่งฉางจวินและพวกรอดชีวิตมาได้ คนจีนจึงนำคำว่า ไก่ขันหมาขโมย (จีหมิง โก่วเต้า) ในเรื่องนี้ มาใช้เป็นสำนวนว่าเทคนิคหรือความสามารถในทางไม่ดี หรือบรรยายว่าเป็นคนที่มีความสามารถในทางไม่ดี เป็นพวกนอกรีต
จากเนื้อเรื่องในนิทานสุภาษิตจะเห็นว่า หากเมิ่งฉางจวินไม่ได้เลี้ยงไว้เป็นลูกสมุนมากมายขนาดนี้ ก็อาจไม่สามารถเอาชีวิตรอดมาจากเหตุการณ์นี้ก็ได้
แต่อย่างที่เกิ่นไว้ตอนต้นครับ การ "รักษาตัวรอด" นั้น ไม่ว่าจะด้วยตนเอง หรือให้ลูกน้องลูกสมุนช่วยให้ตัวเองรอด ก็ต้องคำนึงถึง คุณธรรม ศีลธรรม จรรยาบรรณด้วย หากวิธีที่ใช้ในการเอาตัวรอดนั้นขัดกับศีลธรรมอันดีก็คงไม่เป็น "ยอดดี"
บทความจาก ออล แม็กกาซีน ฉบับที่ 4
สมัยจ้านกว๋อเมิ่งฉางจวินแห่งก๊กฉีชอบรับคนทุกประเภทไม่ว่าจะมีความสามารถหรือไม่ มาเป็นลูกสมุน มีอยู่ครั้งหนึ่ง เมิ่งฉางจวินนำเหล่าลูกสมุนทั้งหลาย ไปดำเนินความสัมพันธ์ทางการฑูตที่ก๊กฉิน ฉินจาวหวางจึงได้รับพวกเขาไว้เป็นเสนาบดี เมิ่งฉางจวินด้วยความที่ไม่กล้าขัดใจ จึงจำต้องตอบรับคำชวน ไม่นานเหล่าขุนนางได้เกลี้ยกล่อม ฉินจาวหวางว่า "การรับเมิ่งฉางจวินมาเป็นเสนาบดีนั้นเป็นโทษต่อแผ่นดิน ตัวเขาเองนั้นเป็นราชนิกูล อยู่ที่ก๊กฉีก็มีศักดินา มีครอบครัว เขาจะมีจิตใจทำงานเพื่อก๊กฉินของเราได้อย่างไร" ฉินจาวหวางเห็นว่ามีเหตุผลจึงเปลี่ยนใจ สั่งกักบริเวณเมิ่งฉางจวินกับลูกสมุนเอาไว้ รอให้มีข้ออ้างก่อน ค่อยจัดการฆ่าทิ้งเสีย
เมิ่งฉางจวินรู้ว่าฉินจาวหวางมีนางสนมนางหนึ่งที่โปรดปรานเป็นพิเศษ ไม่ว่านางสนมนี้พูดอะไร ฉินจาวหวางก็ไม่เคยปฏิเสธ จึงส่งคนไปพบนางเพื่อขอความช่วยเหลือ นางยื่นเงื่อนไขมาว่า ต้องนำเสื้อขนจิ้งจอกขาวมาให้นางให้ได้ นางถึงยอมช่วย แต่ตอนที่เมิงฉางจวิน มาถึงก๊กฉินใหม่ๆ นั้น ได้มอบเสื้อขนจิ้งจอกขาวให้ฉินจาวหวางไปแล้ว ฉับพลันลูกสมุนคนหนึ่งของเมิ่งฉางจวินก็พูดขึ้นมาว่า "ข้าพเจ้าสามารถนำเสื้อขนจิ้งจอกขาวกลับมาให้ท่านได้" เมื่อพูดจบก็เดินจากไป แท้ที่จริงแล้วลูกสมุนของเมิ่งฉางจวินคนนี้ เป็นคนที่มีความสามารถในการแอบเข้าไปขโมยของโดยไม่มีใครรู้ตัว เหมือนกับหมาที่เข้าบ้านคนอื่นทางโพรงหมาขุดเพื่อแอบเข้าไปขโมยของกิน เมื่อสืบทราบว่าฉินจาวหวางเก็บเสื้อขนจิ้งจอกไว้ที่ไหนแล้ว ก็จัดการดอดเข้าไปขโมยกลับมาเป็นผลสำเร็จ เมื่อนำเสื้อขนจิ้งจอกขาวไปมอบให้นางสนม นางสนมดีใจมากและรับปากจะช่วยเมิ่งฉางจวิน ทว่าขอเวลาสักสองสามวัน
แต่เมิ่งฉางจวินอดใจรอไม่ไหว จึงรีบนำลูกสมุนทั้งหลายหนีออกจากเมืองไป โดยคิดจะหนีออกทางด่านหานกู่ แต่ตอนที่ไปถึงด่านนั้น เป็นเวลากลางคืนพอดี จึงออกจากด่านไปไม่ได้ ต้องรอให้เช้าเสียก่อน ขณะที่ทุกคนกระวนกระวายใจอยู่นั้น พลันก็ได้ยินเสียงไก่ขันขึ้นมา และเสียงที่ได้ยินนั้น ไม่ใช่เสียงไก่เพียงตัวเดียว แต่เป็นเสียงไก่จำนวนมากกำลังขันอยู่ แท้ที่จริงแล้วมีลูกสมุนของเมิ่งฉางจวินอยู่คนหนึ่งที่มีความสามารถในการเลียนแบบเสียงไก่ขันได้เหมือนจริง เมื่อไก่ตัวอื่นได้ยินไก่ตัวหนึ่งขัน พวกมันก็จะพากันขันตาม
ทหารเฝ้าประตูด่านเมื่อได้ยินเสียงไก่ขันก็รู้สึกแปลกใจว่ายังไม่เช้าแต่ทำไมไก่ถึงขัน แต่ก็จำต้องเปิดประตูด่านเพราะไก่ขันแล้ว แสดงว่าได้เวลาเปิดประตูแล้ว พวกของเมิ่งฉางจวินจึงฉวยโอกาสนี้หนีออกจากก๊กฉินไปได้ พอเช้าฉินจาวหวางทราบเรื่องว่าเมิ่งฉางจวินหนีออกไป จึงออกคำสั่งให้ทุกด่านสกัดไว้ แต่เมิ่งฉางจวินได้หนีออกนอกก๊กฉินไปนานแล้ว
จากความสามารถในการย่องเบาเป็นหมาขโมย และความสามารถในการเลียนเสียงไก่ขันของลูกสมุนทำให้เมิ่งฉางจวินและพวกรอดชีวิตมาได้ คนจีนจึงนำคำว่า ไก่ขันหมาขโมย (จีหมิง โก่วเต้า) ในเรื่องนี้ มาใช้เป็นสำนวนว่าเทคนิคหรือความสามารถในทางไม่ดี หรือบรรยายว่าเป็นคนที่มีความสามารถในทางไม่ดี เป็นพวกนอกรีต
จากเนื้อเรื่องในนิทานสุภาษิตจะเห็นว่า หากเมิ่งฉางจวินไม่ได้เลี้ยงไว้เป็นลูกสมุนมากมายขนาดนี้ ก็อาจไม่สามารถเอาชีวิตรอดมาจากเหตุการณ์นี้ก็ได้
แต่อย่างที่เกิ่นไว้ตอนต้นครับ การ "รักษาตัวรอด" นั้น ไม่ว่าจะด้วยตนเอง หรือให้ลูกน้องลูกสมุนช่วยให้ตัวเองรอด ก็ต้องคำนึงถึง คุณธรรม ศีลธรรม จรรยาบรรณด้วย หากวิธีที่ใช้ในการเอาตัวรอดนั้นขัดกับศีลธรรมอันดีก็คงไม่เป็น "ยอดดี"
บทความจาก ออล แม็กกาซีน ฉบับที่ 4