เจ้าสาวชื่อ...สุชาติ!?
เจ้าสาวชื่อ...สุชาติ!?
เขียนโดย : เรืองเทียน
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต |
ผมนึกแปลกใจเล็กน้อย เมื่อแกะจดหมายชองนั้นออก ดูแล้วพบว่าภายในเป็นการ์ดเชิญงานแต่งงาน ด้านหน้าการ์ด พิมพ์ชื่อเจ้าสาวเจ้าบ่าวเด่นชัดว่า...
สุชาดา-วุฒิพงศ์
ชื่อเจ้าสาวที่เห็นทำให้ผมเกิดความรู้สึกหลากหลายขึ้นในใจ ทั้งประหลาดใจ ทั้งนึกกระอักกระอ่วน และทั้งพลอยยินดีไปด้วยปะปนกันจนแยกไม่ออก ถ้าสุชาดาเป็นเพียงผู้หญิงซึ่งเคยเป็นแฟนเก่าของผม ผมคงไม่คิดอะไรมาก คงมีแต่ความรู้สึกเป็นสุขไปด้วยที่เธอกำลังจะได้แต่งงาน แต่นี่เรื่องไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันมีอะไรมากกว่านั้น สุชาดาปิดบังความลับบางอย่างซึ่งคงมีคนรู้ไม่มากนัก
โชคร้าย...ผมเป็นคนหนึ่งที่รู้ความลับนี้เข้า
ผมจำไม่ได้แล้วว่าเคยให้ที่อยู่สุชาดาไว้ตั้งแต่ตอนไหน เราเลิกกันไปได้เกือบสองปีแล้ว น่าแปลกที่เธอยังเก็บที่อยู่ของผมเอาไว้ แล้วเมื่อเธอจะแต่งงานก็ยังอุตส่าห์มีใจส่งการ์ดเชิญมาให้ถึงบ้าน อย่างน้อยก็น่าดีใจที่เธอยังนึกถึงผมอยู่ สุชาดาอาจเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ผู้ชายส่วนใหญ่รังเกียจแต่ก็นับได้ว่าเราเคยเป็นแฟนกัน เคยคบหากันอยู่ราวสามเดือน สุชาดาเคยดีกับผม เคยเป็นห่วงเป็นใยเอื้ออาทรสารพัด ฉะนั้น ผมจึงควรดีใจกับเธอในฐานะเพื่อนเก่าคนหนึ่ง
มองการ์ดแต่งงานสีชมพูหวานในมืออยู่นาน แล้วผมก็บอกตัวเองว่าผมจะไปร่วมเป็นเกียรติในงานแต่งงานของสุชาดา
ผมกับสุชาดาเข้าทำงานในบริษัทแห่งนั้นพร้อมๆ กัน เราเพิ่งจบปริญญาตรีมา แม้จะต่างสถาบัน ทว่าเป็นสาขาวิชาเดียวกัน การที่เป็นน้องใหม่ในบริษัทอย่างเรา ทำให้เราสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว ความแปลกที่แปลกทาง ยังไม่คุ้นเคยกับระบบการทำงาน ทำให้เราสองคนมักพูดคุยปรึกษาหารือกันอยู่เสมอ เรานั่งทำงานใกล้ๆ กัน ถึงเวลาพักเที่ยงก็ลงไปทานข้าวด้วยกัน มิหนำซ้ำที่พักของเรายังอยู่ไม่ห่างกัน เลิกงานผมกับสุชาดาจึงมักโหนรถเมล์กลับบ้านด้วยกันเป็นประจำ
ความรักก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในใจผม ผมมีความสุขยิ่งนักเวลาได้อยู่ใกล้ๆ สุชาดา ได้ฟังเสียงใสๆ ของเธอ ได้ดอมดมกลิ่นหอม อ่อนๆ จากตัวเธอ ได้เห็นหน้าหวาน ๆ ของเธอ ผมเดาว่าสุชาดาก็คงนึกชอบพอผมอยู่บ้างไม่มากก็น้อย เธอมักหาเรื่องพูดคุยกับผมไม่หยุดปาก ผมชวนไปไหนก็ไม่เคยขัด กลางดึกกลางคืนเราเอาแต่โทรศัพท์คุยกันไม่ยอมหลับยอมนอน มีรุ่นพี่ที่บริษัทบางคนทำท่าจะเข้ามาจีบสุชาดา ผมได้แต่มองอยู่ห่าง ๆ นึกหวั่นกลัวว่าสุชาดาจะหลงใหลชายหนุ่มที่มีทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมกว่าผม ผมเพิ่งเริ่มทำงานยังเอาตัวเองแทบไม่รอด ไม่มีรถขับ ไม่มีเงินทองจะซื้อข้าวซื้อของราคาแพงให้เธอ ผิดกับหนุ่มรุ่นพี่พวกนั้น ผมบอกตัวเองว่าถ้าไม่รีบทำอะไรลงไปสักอย่าง สุชาดาอาจหลุดมือผมไป
ค่ำนั้นผมชวนสุชาดาทานข้าวด้วยกัน แล้วผมก็หาโอกาสพูดความในใจให้เธอ
“ถามหน่อยสิ ตอนนี้ดาคบกับใครอยู่หรือเปล่า” ผมเริ่มต้น
“ไม่มีหรอก ดาเลิกกับแฟนคนก่อน ตั้งแต่อยู่ปีสาม แล้วก็ยังไม่ได้คบกับใครอีกเลย”
“เหมือนเราเลย เราก็เลิกกับแฟนไปนานแล้ว” ผมพูด
หัวใจพองโตเต้นตุบตับอยู่ในอกข้างซ้าย รู้สึกมีความหวังขึ้นมาเต็มเปี่ยม นั่งอึกอักอึ้งอยู่อีกครู่หนึ่งผมก็พูดประโยคต่อไป
“เรามีอะไรจะบอก”
“อะไรล่ะ” สุชาดาถาม
“คือว่า...” ผมมองสบตาสุชาดาตรง ๆ
“เราจะบอกว่าเราชอบดาน่ะ ชอบตั้งแต่วันแรกที่เห็นแล้ว”
สุชาดาหน้าแดงทันตาเห็น ผมรีบรุกต่อ
“ดาล่ะ..เคยนึกชอบเราบ้างหรือเปล่า”
ผมไม่ได้ตาฝาดไป...สุชาดาพยักหน้า
“จริงนะ” ผมร้องเสียงดัง “ถ้างั้นดาเป็นแฟนเรานะ?” เธอพยักหน้าอีก
โลกทั้งโลกของผมกลายเป็นสีชมพูนับตั้งแต่นั้น สองเราแสดงออกกับใครๆ ชัดเจนว่าเป็นแฟนกัน คนที่บริษัทรู้กันหมด ผมมองออกว่ามีหนุ่มรุ่นพี่บางคนชำเลืองมองผมบ่อย ๆ ด้วยสายตาอิจฉา ระหว่างทำงานเราพูดจากะหนุงกะหนิงกันตลอดอย่างมีความสุข ไปไหนก็ไปด้วยกัน เรียกได้ว่าแทบจะตัวติดกันเป็นแฝดสยาม แต่กระนั้นยามอยู่ด้วยกันตามลำพังสุชาดาก็ไม่ยอมให้ผมทำอะไรมากไปกว่าจับมือถือแขน เธอรักนวลสงวนตัวกว่าผู้หญิงสมัยนี้หลาย ๆ คน และนั่นยิ่งทำให้ผมนึกรักและชื่นชมเธอยิ่งขึ้น
สุชาดาเผยความในใจให้ผมรู้ในภายหลังว่าเธอเองก็รู้สึกถูกตาต้องใจผมในแรกเห็นแล้วเหมือนกัน เพียงแต่ไม่กล้าแสดงความรู้สึกออกมามากนัก เธอไม่แน่ใจว่าผมมีใครแล้วหรือยัง อีกทั้งกลัวจะเจอผู้ชายเจ้าชู้เที่ยวได้จีบผู้หญิงไปเรื่อย
ตลอดเวลาราวสามเดือนที่คบกันเป็นแฟนผมมีความสุขมาก ปัญหาต่าง ๆ ที่ผ่านๆ เข้ามาในชีวิตกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเสียหมด ผมคิดฝันถึงขั้นอยากแต่งงานกับเธอด้วยซ้ำ วางแผนในใจว่าทำงานเก็บเงินอีกสักปีสองปี เมื่อพร้อมเมื่อไหร่ผมจะให้พ่อแม่ไปคุยกับผู้ใหญ่ฝ่ายเธอ แล้วเราก็จะได้อยู่ใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน มีลูกตัวน้อยด้วยกันสักสองสามคน วิมานในอากาศที่ผมสร้างขึ้นช่างสวยงามจนผมอยากให้วันนั้นมาถึงเร็วๆ
แต่แล้ววันหนึ่งผมก็พบว่าวิมานในอากาศหลังนั้นได้พังทลายลงไม่มีชิ้นดี ผมกับสุชาดาไม่อาจเป็นเหมือนเดิมได้อีก ผมรู้ความจริงที่เธอปิดบังแล้ว
ยังจำภาพทุกภาพได้ติดตา ราวบ่ายสามโมงของวันนั้นผมลุกจากโต๊ะทำงานเดินตรงไปยังห้องครัวด้านหลังออฟฟิศตั้งใจจะชงกาแฟดื่มสักแก้วเพื่อให้สมองตื่นตัวขึ้น ตอนนั้นสุชาดากำลังยืนถ่ายเอกสารอยู่หน้าเครื่องถ่ายเอกสาร ผมสังเกตเห็นก่อนหน้านั้นแล้วว่าเธอมีท่าที่ลุกลนผิดปกติคล้ายกับไม่อยากให้ใครเห็นว่าทำอะไรอยู่ ผมนึกสงสัยว่าเธอกำลังถ่ายเอกสารอะไร จึงฉวยโอกาสนี้เองเดินไปหยุดอยู่ใกล้ๆ ร่างเธอ ชะโงกหัวมองข้ามไหล่สุชาดาโดยที่เธอไม่ทันรู้ตัว
แล้วผมก็ล่วงรู้ความลับของสุชาดา!
เธอกำลังถ่ายเอกสารบัตรประชาชนอยู่ ผมเห็นบัตรนั้นชัดเจนขณะที่สุชาดาเปิดฝาเครื่องถ่ายเอกสารออกมา ใบหน้าในบัตรเหมือนสุชาดาไม่มีผิด ต่างก็แต่ว่าเป็นใบหน้าของผู้ชาย ผมอ่านชื่อเจ้าของบัตรแล้วขนลุกกรูเกรียว
ชื่อเจ้าของบัตรคือ.. นายสุชาติ สงวนวงศ์
ให้ตายเถอะ ผมแทบเป็นลมล้มทั้งยืน ผมถูกหลอกมาตลอดหรือนี่ แท้จริงแล้วสุชาดาเป็นผู้ชาย ชื่อตามทะเบียนราษฎร์คือ สุชาติ ไม่มีทางคิดเป็นอย่างอื่นไปได้อีกแล้ว บัตรประชาชนใบนั้นฟ้องทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจน
เพราะเหตุนี้เธอถึงยอมเป็นแฟนกับผมอย่างง่ายดาย
เพราะเหตุนี้เธอจึงหลบเลี่ยงไม่ให้ผมใกล้ชิดกับเธอทางร่างกาย
เพราะเหตุนี้เธอจึงทำท่ามีพิรุธขณะเอาบัตรประชาชนตัวเองไปถ่ายเอกสาร
ผมยอมรับว่าสาวประเภทสองสมัยนี้สวยและอ่อนหวานจนดูไม่ต่างอะไรกับผู้หญิง แต่ผมก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะดูไม่ออกจนถูกหลอกแบบนี้ สุชาดาเหมือนผู้หญิงไม่มีผิดเพี้ยน ทั้งผิวพรรณทรวดทรงองค์เอว และน้ำเสียง เทคโนโลยีศัลยกรรมทางการแพทย์พัฒนาไปไกลจนตบตาผมได้สนิทแนบเนียนช่างเจ็บแสบจริง ๆ
สุชาดาผ่านการทำศัลยกรรมมาแล้วอย่างน้อยที่สุดก็เสริมหน้าอกและผ่าตัดกล่องเสียง เพียงแต่เธอยังไม่ได้ทำเรื่องเปลี่ยนชื่อในบัตรประชาชน มันจึงยังระบุว่าเธอคือนายสุชาติเหมือนเดิม จริงอยู่เธอบอกใคร ๆ ว่าชื่อสุชาดา แต่ก็ไม่เคยมีใครเห็นบัตรประชาชนของเธอจริง ๆ สักครั้ง แม้แต่ผมเองก็ตาม คนเพียงคนเดียวที่ได้เห็นหลักฐานส่วนตัวของสุชาดาคือหัวหน้าฝ่ายบุคคล ทว่าหัวหน้าฝ่ายบุคคลของบริษัทผมก็เป็นชายใจหญิงเหมือนๆ กัน เป็นไปได้ว่าเขารู้ความลับของสุชาดาแต่ช่วยปกปิดไว้เพราะเห็นใจคนหัวอกเดียวกัน
ทุกคนในบริษัทเข้าใจผิดกันมาตลอดว่าชายหนุ่มซื้อ “สุชาติ” คือหญิงสาวชื่อ“สุชาดา
เมื่อความจริงแจ่มกระจ่างใจ ผมรีบก้าวผละหนีให้ห่างสุชาดา เก็บข้าวของบนโต๊ะทำงาน จากนั้นก็เดินออกจากบริษัทอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ผมไม่ได้กลับไปทำงานที่นั่นอีกเลย เปลี่ยนเบอร์มือถือ ไม่ต้องการให้คนในบริษัทติดต่อมา และไม่ต้องการเกี่ยวข้องใดๆ กับนายสุชาติอีก ผมไม่กล้านกวาดภาพเลยว่าคนที่บริษัทจะพูดกันอย่างไรเมื่อรู้ว่าผมหลงรักสาวประเภทสองเข้า
ผมกับสุชาดากลายเป็นแค่คนเคยรู้จักกัน เราไม่เคยติดต่อหรือพบเจอกันอีกเลย จนกระทั่งการ์ดเชิญงานแต่งงานใบนั้น เดินทางมาถึงมือผม
งานแต่งจัดอย่างหรูหราไม่เบา ใช้ห้องบอลรูมของโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่ง มองเห็นแขกเหรื่อชักแถวเดินตามกันเข้าไปในงานไม่ขาดระยะ คู่บ่าวสาวยืนคอยยกมือไหว้ต้อนรับอยู่บริเวณประตูทางเข้าห้องจัดเลี้ยง ผมมองเห็นคนทั้งคู่แต่ไกล ย่างก้าวเข้าใกล้พลางเพ่งสายตามองดูเจ้าบ่าวคนนั้น ใจนึกภาวนาขอให้เขารู้ความลับของสุชาดาแล้ว ไม่ใช่แต่งงานกับเธอเพราะหลงคิดว่าเธอเป็นผู้หญิง
และแล้วผมก็เดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าบ่าวเจ้าสาว เจ้าบ่าวชื่อวุฒิพงศ์ มองหน้าผมแล้วยิ้มให้ตามมารยาททั้งที่ไม่รู้จักกัน สุชาดายกมือไหว้แขกผู้ใหญ่คนหนึ่ง เชิญให้เข้าไปนั่งในงาน ครั้นแล้วเธอ
จึงเหลือบสายตามาพบผมเข้า
“ต่อ..ดานึกว่าคุณจะไม่มาเสียแล้ว”
สุชาดายิ้มกว้าง ดูเธอจะไม่หลงเหลือร่องรอยความโกรธเคืองที่ผมหนีหายไปจากชีวิตโดยไม่บอกกล่าวเมื่อเกือบสองปีก่อนเลย
“ตาแต่งงานทั้งที อุตส่าห์ส่งการ์ดเชิญไปให้ ยังไงก็ต้องมาอยู่แล้ว” ผมบอก
เรายังไม่ได้พูดอะไรกันต่อ พลันนั้นเองใครคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านในห้องจัดเลี้ยง เขาเป็นชายหนุ่มอายุไล่เลี่ยกับผมชายหนุ่มเดินมาหยุดใกล้ ๆ เจ้าสาวของงานก้มหน้ากระซิบอะไรบางอย่างกับเธอ
ผมมองหน้าชายผู้นั้นตาค้าง ราวกับเห็นผี!
ดวงหน้าของผู้ชายคนนี้ละม้ายเหมือนสุชาดาอย่างกับแกะ ไม่ว่ารูปหน้า ดวงตา จมูก ริมฝีปาก ทุกอวัยวะบนใบหน้าราวกับถอดแบบกันมา ต่างก็เพียงเขามีตอหนวดเขียวครึ้ม และมีลูกกระเดือกปูดโปนออกมาให้เห็น
“ต่อ...” สุชาดาหันมาทางผม “นี่พี่สุชาติ พี่ชายของดาเอง”
แล้วเธอก็หันไปบอกชายคนนั้น “นี่ต่อค่ะพี่ชาติ เป็นเพื่อนเก่าคนหนึ่งของดา”
“มีพี่ชายดาหรือ” ผมได้ยินเสียงตัวเองโพล่งถามออกไป นึกถึงใบหน้าในบัตรประชาชนใบนั้น
“ก็ใช่นะสิครับ” ชายหนุ่มเป็นคนตอบ “หน้าคล้ายกันอย่างกับฝาแฝดเลยใช่มั้ยล่ะ ใครเห็นก็ทักแบบนี้ทั้งนั้นแหละครับ ผมเคยวานให้ยายดาเอาบัตรประชาชนไปถ่ายเอกสารให้สามสี่หน คนที่ทำงานเห็นรูปในบัตรยังทักเลยว่าหน้าเหมือนกัน”
ชายที่ชื่อสุชาติยังพูดอะไรต่อไปอีกหลายคำ แต่ผมไม่ได้ยินแล้ว หูสองข้างของผมอื้อไปหมด รู้สึกหน้ามืดตาลายทำท่าจะเป็นลมล้มคว่ำลงไปตรงนั้นเอง